5 สถิติการทำการตลาดผ่านช่องทาง SEO ให้ดีขึ้นกว่าเดิม
ทุกวันนี้ในปี 2020 การทำการตลาดผ่านช่องทาง SEO ก็ยังคงเป็นที่พูดถึงในแวดวงการทำการตลาด และยังมีคนอีกมากที่เริ่มต้นให้ความสนใจ ที่จะหันมาให้ความสำคัญกับช่องทางนี้มากขึ้น และสำหรับใครที่ยังลังเล ไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นให้ความสำคัญกับ การทำ SEO ได้หรือยัง ? และในบทความนี้ได้รวบรวมสถิติเกี่ยวกับการทำ SEO ที่น่าสนใจที่คุณสามารถนำไปใช้เป็นแนวทางในการวางแผน SEO
1. สถิติ SEO >> การใช้งาน
1.1 สัดส่วนการเข้าชมเว็บไซต์
ส่วนใหญ่มาจากการใช้ Search Engine จากสถิติของการเข้าชมเว็บไซต์ที่สามารถวัดผลได้ มีการเข้าไปยังเว็บไซต์ ผ่านการใช้ Search Engine มากถึง 68% และกว่า 53% เป็น Organic Search (การเข้าชมเว็บไซต์ผ่านผลลัพธ์การค้นหา ที่มีการกดเข้ามาจาก SEO โดยไม่ผ่านสื่อที่เสียเงิน) จากสถิตินี้ทำให้เราเห็นว่า จำนวนผู้ใช้ Search Engine ในการเข้าถึงแบรนด์ต่าง ๆ มีมากกว่า 50% ซึ่งมากกว่าทั้งการเข้าผ่าน Banner Ads และ Social Media เห็นอย่างนี้แล้ว สำหรับใครที่ยังลังเลใจ ก็อาจจะเห็นภาพมากขึ้นแล้วใช่ไหมว่า การทำ SEO จะทำให้เราเข้าถึงลูกค้าได้มากขึ้น
1.2 Google Image อีกช่องทางในการทำ SEO ให้น่าสนใจ
จากสถิติของการเข้าชมเว็บไซต์ในอเมริกา มีการเข้าเว็บไซต์จากการค้นหารูปภาพผ่าน “Google Image” ถึง 21% แล้ว การค้นหา Google ในรูปแบบของรูปภาพต่าง ๆ แต่นักการตลาดหลายคน อาจจะมองข้ามไปว่านี่คืออีกช่องทางสำคัญ ที่จะทำให้ลูกค้าตัดสินใจคลิกเข้าชมเว็บไซต์ของเรา ดังนั้นการใส่ Keyword ที่เราเลือกเอาไว้ใส่เข้าไปใน “Alternative Text” ก็จะทำให้ Google สามารถเก็บข้อมูลได้มากขึ้น ซึ่งจะมีผลกับ SEO
2. สถิติ SEO >> การจัดอันดับ
2.1 Traffic จาก Organic Search
ในปัจจุบันบน Search Engine อย่าง Google มีเว็บไซต์อยู่ทั้งหมด 4.45 พันล้านเว็บไซต์ด้วยกัน ซึ่งแน่นอนว่าเว็บไซต์ของพวกเราก็ถูกรวมอยู่ในนั้น และถูก Google นำไปใช้เก็บข้อมูล และ วิเคราะห์ต่าง ๆ แต่จากสถิติที่น่าสนใจของ Ahrefs ระบุว่าเว็บไซต์กว่า 90.63% นั้นไม่เคยมี Traffic เข้ามาจาก Organic Search เลย ซึ่งถ้าลองคำนวนดูแล้วเรียกได้ว่ามีเว็บไซต์อยู่มากมายมหาศาล ที่จะต้องพึ่งเพียงแค่การจ่ายเงินผ่าน Paid Search ต่าง ๆ เพื่อดึงคนเข้าเว็บไซต์ ซึ่งนี่เป็นเหตุผลที่เราทุกคนควรเริ่มต้นที่จะใส่ใจ SEO
2.2 การทำ SEO ต้องใช้เวลา
สำหรับคนที่เคยทำ SEO เชื่อว่าหลาย ๆ คนคงเคยมีความคิด มีความสงสัยว่าทำไมหน้าเว็บไซต์ของเราถึงไม่ขึ้นไปอยู่อันดับต้น ๆ สักที ซึ่งด้วยปัญหานี้ก็ทำให้หลาย ๆ คนถอดใจ และ มีความรู้สึกอยากเลิกใช้ช่องทาง SEO ในการทำการตลาด จากสถิติค่าเฉลี่ยของหลาย ๆ หน้าเว็บไซต์ที่สามารถขึ้นไปอยู่บนอันดับต้นๆ ของ Search Engine ล้วนกินเวลาไปถึง 2 ปี ถึงจะได้อันดับดี ๆ อย่างในปัจจุบัน โดยมีเพียง 5.7% เท่านั้นที่ขึ้นไปอยู่ Top 10 ภายในเวลาไม่เกินปี
2.3 Meta Description
องค์ประกอบ SEO สำคัญที่คุณไม่ควรมองข้าม อย่างที่หลาย ๆ คนรู้กันว่าการทำ SEO นั้นมีองค์ประกอบสำคัญอยู่หลายอย่าง ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือ “Meta Description” ที่ Google จะนำไปแสดงผลตรงหน้าค้นหา ซึ่งจะช่วยให้ลูกค้ารู้ว่าหน้าเว็บฯ นั้นเกี่ยวข้องกับอะไร ? จากสถิติของ Ahrefs การแสดงผล Meta Description การใช้ Keyword ประเภท “Fat-head Keywords” จะมีโอกาสแสดงผลสูงกว่าค่าเฉลี่ย แล้วทำอย่างไร Meta Description ถึงจะถูกแสดงออกมา ? คำถามนี้คงผุดขึ้นมาสำหรับผู้อ่านหลาย ๆ คน ซึ่งจากสถิติด้านบนการใช้ Keyword ประเภท “Fat-head” (Keyword สั้น ๆ ประมาณ 1 – 2 คำที่กว้าง ๆ เช่น รองเท้า ซื้อรองเท้า) จะทำให้มีโอกาสที่ Meta Description จะถูกแสดงผลถึง 40.35% ในขณะที่ค่าเฉลี่ยโดยทั่วไปจะอยู่ที่ 37.22%
3. สถิติ SEO >> Backlink
การที่เว็บไซต์อื่น ๆ ใส่ลิงก์กลับมาหาบทความของเรา เป็นอีกสิ่งที่ทำให้เว็บไซต์มีโอกาสเข้าไปอยู่ในอันดับต้น ๆ ซึ่งทาง Google ก็ได้ระบุเลยว่า Backlink เป็นหนึ่งใน 3 องค์ประกอบที่มีผลต่อ การทำการตลาดผ่านช่องทาง SEO มากที่สุด (อีกสององค์ประกอบได้แก่ คอนเทนต์ และ ระบบอัลกอริทึมที่ชื่อว่า Rankbrain) จากการเปิดเผยของ Ahref เว็บไซต์ใดที่มี Backlink (บทความหรือเว็บไซต์ ถูกผู้อื่นพูดถึงและใส่ลิงก์เชื่อมกลับมาในช่องเว็บไซต์อื่น ๆ ) จำนวนมาก ก็ยิ่งทำให้เว็บไซต์นั้น ๆ มี Traffic หรือ ผู้เข้าชมเว็บไซต์ ที่มาจากช่องทางการใช้ Organic Search เยอะขึ้น อย่างไรก็ตาม กว่า 66% ของหน้าเว็บไซต์ ไม่มี Backlinks จากสถิติของ Ahrefefs ข้างต้น การที่เราจะได้ Backlink กลับมาไม่ใช่ว่าเราจะสามารถได้มาง่าย ๆ ซึ่งส่วนใหญ่การจะได้มาซึ่ง Backlink บทความของเราต้องเป็นคอนเทนต์ที่มีคุณภาพจริง และเป็นที่ยอมรับ อย่างไรก็ตาม ก็มีหลายเว็บไซต์ที่ใช้วิธีลัดที่จะช่วยให้เราได้ Backlink ง่ายมากขึ้นซึ่งนั่นก็คือ การซื้อ และ การแลกเปลี่ยน Backlink ซึ่งกันและกัน 43.7% ของเว็บไซต์ที่ทำ SEO ได้อันดับต้น ๆ ใช้วิธีการแลกเปลี่ยน Backlink กับเว็บไซต์อื่น ถ้าหากเราดูจากสถิติแล้ว เราจะเห็นได้ว่าจะ มีเว็บไซต์จำนวนไม่น้อยที่ใช้วิธีแลกเปลี่ยน Backlink ในการเพิ่มโอกาสในการได้อันดับ SEO สูง ๆ
4. สถิติ SEO >> Keyword
4.1 ความยาวของ Keyword กับอันดับ SEO
อย่างที่ได้พูดถึงไปก่อนหน้าแล้วสำหรับประเภทของ Keyword ที่มีอยู่ 2 ประเภทหลัก ๆ ด้วยกันนั่นคือ Long Tail Keyword และ Fat Head Keyword ซึ่งนอกจากจะมีผลต่อการแสดงผลของ Meta Description แล้ว ความยาวของ Keyword ก็มีผลต่ออันดับการค้นหาเช่นเดียวกัน จากสิถิติของ Ahrefs ระบุว่า มีแค่ 7% ของการค้นหาเท่านั้นที่มีความยาวตั้งแต่ 4 คำขึ้นไป Keywords ที่ได้รับการค้นหาต่อเดือน 10,000 ครั้งขึ้นไป พบว่าส่วนใหญ่ (87%) มีความยาวไม่เกิน 2 คำ การเลือก Keyword ก็มีอีกส่วนที่ต้องพิจารณา ซึ่งนั่นก็คือโอกาสในการกลายมาเป็นลูกค้า เพราะคำค้นหาที่ยาวกว่า (Long Tail Keyword) อาจหมายความว่าผู้ค้นหามีความต้องการเฉพาะเจาะจง และชัดเจน
4.2 การใช้คำถามเป็น Keyword
คำถามที่เป็น Keyword 8% ของคำค้นหา (Queries) ที่เกิดขึ้นเป็นคำถามสั้น ๆ ถ้าหากคุณกำลังสงสัย ไม่รู้ว่าจะใช้หัวข้ออะไรในการทำคอนเทนต์ดี สถิติทางด้านบนของ Moz (ผู้ให้บริการเครื่องมือด้าน SEO) ก็น่าจะช่วยให้เรามีไอเดียมากขึ้นได้ ซึ่งการใส่คำถามเข้าไปจะช่วยเพิ่มความหลากหลาย และ โอกาสในการเข้าถึงลูกค้าที่มากขึ้น ซึ่งลูกค้าที่ค้นหาด้วยคำถามอาจจะเป็นกลุ่มที่ลังเล ซึ่งเราก็สามารถใช้ Keywod นี้ในการทำคอนเทนต์ที่แสดงผลขึ้นมาอันดับต้น ๆ มาช่วยลูกค้าตัดสินใจได้
5. สถิติ SEO >> พฤติกรรมของลูกค้า
5.1 SEO กับการตัดสินใจซื้อ
39% ของผู้บริโภคระบุว่าการค้นหาข้อมูลสินค้าใน Google มีผลต่อการตัดสินใจซื้อ หลาย ๆ คน ถ้าเริ่มมีความสนใจ อยากจะซื้อสินค้า หรือ บริการอะไรสักอย่าง มันก็ต้องมีบ้างที่จะต้องหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับสินค้า และบริการนั้น ๆ ซึ่งถ้าดูจากสถิติแล้วจะสังเกตได้ว่า การทำ SEO ให้ดีเพื่อให้มีเว็บไซต์ของเราขึ้นมา จะช่วยให้เราสามารถเข้าถึงลูกค้าในช่วงเวลาแห่งการตัดสินใจได้ และนี่คือเหตุผลว่าทำไมธุรกิจต่าง ๆ ถึงจำเป็นต้องใช้ SEO ในการเข้าถึงลูกค้า
5.2 SEO กับพฤติกรรมการใช้ Smartphone
จากสถิติของ Statista 52.2% ของผู้เข้าชมเว็บไซต์ มาจากการใช้โทรศัพท์มือถือทั้งสิ้น ในช่วงเวลาที่ผ่านมา ทุกคนก็คงจะรู้ว่าสถิติการใช้ Smartphone สูงขึ้นขนาดไหน ซึ่งหนึ่งในองค์ประกอบของการจัดอันดับ SEO ก็คือการทำให้เว็บไซต์ของเรามีความ “Mobile-friendly” หรือ การทำให้เว็บไซต์ของเรามีขนาดเหมาะสม และ มีประสิทธิภาพเต็มที่เมื่อเล่นบนมือถือ
ถ้าหากใครสนใจ อยากรู้ว่าเว็บไซต์ของคุณมีความ “Mobile-friendly” แล้วหรือยัง ก็สามารถเข้าไปทดสอบกันได้ง่าย ๆ ด้วยการไปค้นหาใน Google ด้วยคำว่า “Mobile Friendly Test”แล้วใส่ URL เข้าไปเพื่อวัดผลครับ บทความนี้รวบรวมสถิติ ที่พอจะเป็นประโยชน์ของ การทำการตลาดผ่านช่องทาง SEO มาให้ทุกๆคนได้นำไปปรับใช้ได้
=========================================================================
=========================================================================
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น